เริ่มกันที่ทีมชาติแรก ทีมชาติอาเจนติน่า แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เลโอเนล เมสซี่ แนวรุกกัปตันทีมวัย 35 ปีโดยฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเค้าในสีเสื้อของอาเจนติน่าก็เป็นได้ ซึ่งเลโอเนลเมสซี่พึ่งจะพาทีมอาเจนติน่า คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพออฟแชมป์เปี้ยน ถ้วยที่เอาแชมป์โคป่าอเมริกามาพบกับฟุตบอลยูโร ซึ่งในนัดนั่น แมสซี่นำทัพอาเจนติน่าถล่มเอาชนะ ทีมชาติอิตตารี่ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 ซึ่งศึกฟุตบอลโลกในครั้งนี้จะเป็นฟุตบอลโลกสมัยที่ 5 ขอเมสซี่ หลังจากที่เค้าประเดิมสนามในศึกฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี2006 ที่ประเทศเยอรมัน

โดยสำหรับทัวนาเม้นฟุตบอลโลกปีที่ดีที่สุดของเมสซี่ คือในศึกฟุตบอลโลกปี2014 ที่ประเทสบราซิลซึ่งในปีนั่น เมสซี่พาทีมชาติอาเจนติน่าคว้าต่ำแหน่งรองแชมป์ ซึ่งปัจจุบัน เลโอเนล เมสซี่นั่นลงสนามรับใช้ทีมชาติอาเจนติน่าไปแล้วทั้งสิ้น 162 นัดทำประตูไปได้ 86 ประตูและยังถือว่าเค้าเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของทีมอาเจนติน่า และยังเป็นนักเตะที่ลงสนามมากที่สุดอีกด้วย

    ทีมชาติซาอุดาอาระเบีย ได้แก่ ฟิราส อัลบุรัยกัลป์ กองหน้าวัย 22 ปีจากสโมสร อัลฟาเต โดยฟิราส อัลปุรัยกัลป์ก็ขึ้นมาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว หลังจากที่ลงมาเป็นตัวสำรองและลงมายิงประตูชัยช่วยให้ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย เฉือนเอาชนะทีมชาติญีปุ่นไปได้ 1ประตูต่อ 0 ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนที่ในนัดต่อมาเค้าจะลงมายิงประตูที่ 3 ช่วยให้ซาอุดิอาระเบียเฉือนเอาชนะทีมชาติจีนไปได้ 3 ประตูต่อ2 และหลังจากนั่นไม่นานเค้าก็ก้าวขึ้นมากองหน้าเบอร์ 1 ของทีมชาติซาอุดิอาระเบียไปโดยปริยาย ซึ่งฟิราส อาบุรับกัลป์ ถือเป็นกองหน้าดาวรุ่งของวงการฟุตบอลซาอุ

โดยเค้าพาทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ยู19 คว้าแชมป์เอเชียในปี 2018 และพาทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ยู 23 คว้าแชมป์เอเซียที่พึ่งแข้งขันจบไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน ฟีราส อาบุรัยกัลป์ลงสนามรับใช้ทีมชาติ ซาอุดิอาระเบียชุดใหญ่ไปแล้วทั้งสื้น 22 นัด ทำประตูไปได้ 6ประตู

       ทีมชาติแม็กซิโก ได้แก่ ราอูล คิมิเนซ กองหน้าวัย 31 ปีจากสโมสร วูฟแฮนตัน ในศึกพรีเมียรลีกอังกฤษ โดยปัจจุบัน ราอูล คิมิเนซก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าเบอร์1ของชาติ แทนที่ชิชาริโต อย่างเต็มตัว ซึ่งในวันคะนอง ราอูล คิมิเนซนั่นนำทัพ แม็กซิโก ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ในปี 2012 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะขยับขึ้นทีมชาติแม็กซิโกชุดใหญ่ และพาแม็กซิโกคว้าแชมป์คอนคาเคฟคัพปี 2015 และต่อมาด้วยการคว้าแชมป์คอนคาเคฟโกคัพปี 2019

ซึ่งในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ถือเป็นสมัยที่3 ของราอูล คิมิเนซ หลังจากที่เค้าลงประเดิมสนามให้กับทีมชาติแม็กซิโกครั้งแรกในศึกฟุตบอลโลกในปี 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยปัจุบัน ราอูล คิมิเนซนั่นลงสนามรับใช้ทีมชาติแม็กซิโกไปแล้วทั้งสิ้น 97 นัดทำไปได้ 30 ประตู ซึ่งเค้ารั้งเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติแม็กซิโกในอันดับที่ 7

         ทีมชาติโปรแลนด์ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โรเบริต เรวานดอฟกี้ กองหน้าวัย 33 ปีจากสโมสรบาร์เยนมิวนิค ในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน โดยเรวานดอฟกี้ คือหนึ่งในโคตรกองหน้าแห่งยุค ที่ยิงประตูได้แบบถล่มทลาย แต่ว่าในนามทีมชาติ ด้วยสภาพทีมที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยมันจึงทำให้ เรวานดอฟกี้นั่นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ทว่าด้วยฝีเท้าที่มันคือของจริง มันทำให้โรเบริต เรวานดอฟกี้ ขยับคม ยิงประตูได้อย่างถล่มทลายในนามทีมชาติโปรแลนด์

โดยปัจจุบัน โรเบริต เรวานดอฟกี้ นั่นลงสนามรับใช้ทีมชาติโปรแลนด์ไปแล้วทั้งสิน 132 นัด ทำไปได้ 76 ประตูซึ่งปัจจุบันเค้ารั้งเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติโปรแลนด์ และยังเป็นนักเตะที่ลงสนามให้กับทีมชาติโปรแลนด์มากที่สุดอีกด้วย แถมปัจจุบันเค้ายังเป็นกัปตันทีมชาติโปรแลนด์ที่จะนำทัพโปรแลนด์โลดแล่นในศึกฟุตบอลโลกปีที่ 2 ติดต่อกันและไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของโคตรกองหน้าที่ชื่อว่า โรเบริต เรวานดอฟกี้ อีกด้วย